𝐅𝐞𝐧𝐜𝐞𝐝 𝐑𝐚𝐭𝐞

คือ ราคาที่มากับข้อจำกัด ยกตัวอย่างเช่น เป็นราคา non-refundable คือ ไม่คืนเงิน เป็นราคา advanced purchase หรือต้องจองล่วงหน้าเท่านั้นเท่านี้วันก่อนเช็คอิน เป็นราคาสำหรับจอง 3 คืนขึ้นไป เป็นต้น

Revenue Manager จะกำหนดข้อกำหนดหรือข้อจำกัดเหล่านี้ ตามกลยุทธ์ที่วางเอาไว้ให้สอดคล้องกับเป้าหมายของโรงแรม ถ้าโรงแรมต้องการเพิ่ม average length of stay ก็เป็นไปได้ว่า จะออกโปรที่ให้ราคาต่ำกว่าสำหรับลูกค้าที่จองหลายคืน เพื่อเพิ่ม average length of stay นั่นเอง อีกตัวอย่างหนึ่งก็อย่างเช่น ถ้าหากต้องการให้ลูกค้าจองล่วงหน้าและยืนยันว่ามาแน่นอนไม่มาเทกันตอนท้าย ก็ทำราคา Advanced purchase ออกมาให้ดูน่าสนใจ ส่วนลูกค้าเองก็ต้องแลกการได้ราคาพิเศษนั้น กับข้อจำกัดในการยกเลิกการจองหรือการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ

มีสิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากเป็น tips ไว้ก่อนจะใช้ rate fencing กันอย่างหน้ามืดคือ

1. เราจะไม่กันคนออกถ้า demand ไม่เพียงพอ หมายถึง ถ้าขนาด demand ไม่พอกับการทำให้โรงแรมเต็ม เราก็รับทุกๆ booking อยู่แล้ว จะไป fence ใครออกทำไม ถูกต้องมั้ยคะ

2. วาง rate fencing ไว้แล้ว ต้อง monitor เสมอ เพราะเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน กฎกติกามารยาทเหล่านั้นก็ควรถูกเปลี่ยนด้วย

3. แต่ละโรงแรม ในแต่ละบริบท ต้องใช้ strategies ที่แตกต่างกัน ลอกเลียนแบบกันไม่ได้ เอ อันนี้ไม่ต้องบอกก็ได้เนอะ

สุดท้าย admin อยากถามว่า ถึงเวลาเปลี่ยน rate fence กันหรือยังคะ Happy Friday!

https://www.facebook.com/idsophis/posts/pfbid0x29AssvfZ1VwTUvBY6wgT9V799nHhm4ax41d3G62SweG7ptDwDe8dy9ZnFuTDnkvl