New Normal of Travel After Covid-19
- Amy Pathumwongse

- May 11, 2020
- 3 min read
รอให้มีนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญออกมาแสดงทัศนะและทิศทางของธุรกิจท่องเที่ยวมาระยะหนึ่งแล้ว พยายามอ่านข่าว บทความ บทวิเคราะห์ ดูสัมภาษณ์ ดูวีดีโอ ซึ่งหัวข้อตรงปกบ้างไม่ตรงบ้าง คงถึงเวลาที่จะออกมาสร้างขวัญและกำลังใจให้กับทุกท่านบนพื้นฐานข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบและสร้างสรรค์ คำถามคือ ธุรกิจท่องเที่ยวจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้
มองในด้าน Supply จะมี Survivors ในธุรกิจไม่มาก
สหภาพยุโรปที่ Travel and Tourism คิดเป็น 10% ของ GDP และสร้างงานกว่า 12% ได้รับผลกระทบจากเจ้าโคโรน่าไวรัสเป็นอย่างมาก Thierry Breton, the European Commissioner for the Internal Market คาดการณ์ว่า สถานการณ์นี้จะส่งผลกระทบให้รายได้ธุรกิจลดลงถึง 70% กว่า 80% ของผู้ประกอบการคาดว่า สถานการณ์นี้จะยืดเยื้อเกิน 12 เดือนและกว่าจะกลับมาเป็นปกติก็น่าจะปี 2022 โน่น ฝรั่งเศษเห็นจะหนักมาก France hotel and catering sector ติดลบ 90% และ tour operators ติดลบ 97% อ่านถึงตรงนี้อาจจะใจชื้น เพราะมีคนแย่กว่าเราอีกนะเนี่ย
กลับมาที่ประเทศไทย ที่มี Travel and Tourism คิดเป็น 20% ของ GDP ตั้งแต่โควิดยังไม่มาก็มีการประกาศขายโรงแรมตามหัวเมืองท่องเที่ยวกันเยอะแล้ว คงจะนึกภาพออกว่า ตอนนี้ธุรกิจท่องเที่ยวไทยอยู่ในภาวะที่บอบช้ำและเคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริงๆ แล้วลองคิดซิว่า ถ้าวัคซีนคลอดออกมาปลาย Q1 2021 แล้วยังต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะกลับมาเหมือนเดิม ถึงตอนนั้นยังมีคนมองอีกมุมว่า ผู้คนจะมีสตางค์ในการท่องเที่ยวเหมือนเดิมมั้ย ถ้าธุรกิจยังเป็นแบบนี้ไปอีก 12 เดือน จะเหลือคนที่รอดกี่คน แม้ไม่สามารถยืนยันเป็นตัวเลขได้จริงๆแต่เชื่อแน่ว่า คนที่รอดจะได้รับผลดีจากการที่ supply ในตลาดลดน้อยลงอย่างแน่นอน
มองในด้าน Demand เจ้า travel and tourism products ถือว่า เป็นสินค้าจำเป็นหรือไม่
ทฤษฎีความต้องการของมาสโลว์ แบ่งความต้องการของมนุษย์ออกเป็น 5 ขั้น ในลักษณะของพีระมิดที่เรียกว่า Maslow's Hierarchy of Needs คือ Physiological Needs, Safety Needs, Love and Belonging Needs, Esteem Needs, และ Self-actualization ตามทฤษฎีแล้วเมื่อมนุษย์ได้รับการตอบสนองในขั้นที่ต่ำกว่าจนถึงระดับหนึ่ง จึงจะมีความต้องการระดับต่อไป หลายท่านอาจคิดว่า ตายล่ะ ธุรกิจท่องเที่ยว คนต้องสนใจเรื่องปากท้องก่อนคิดจะเที่ยวแน่ แต่เดี๋ยวก่อน ถ้ามองให้ละเอียดๆถึงเหตุผลเบื้องหลังการท่องเที่ยวและพักผ่อนนั้น จะเห็นว่า เหตุผลในการเดินทางของบางท่านเป็น Physiological Needs นี่นา
Medical Tourism ถือเป็น Physiological Needs ในมาตรฐานการแพทย์ไทยที่ได้รับการยอมรับระดับโลก มีหลายประเทศเดินมาทำการรักษาที่ประเทศไทยที่ถูกและดี เดินทางมาไม่ได้สองเดือนแล้วนา เปิดสนามบินปุ๊บคงต้องรีบมาละ แถมบุคลากรทางการแพทย์ยังโชว์ผลงานได้ดีเยี่ยมในช่วงวิกฤติ จากคนที่ไม่เคยมาก็คงต้องมาแล้วล่ะ
Reproduction สมัยทำงานที่ออฟฟิศเกิดภาวะความเครียด ต้องการพักผ่อนและชาร์จแบตเตอรี่ เพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น พอทำงานที่บ้าน มี flexibility ในแง่เวลามากขึ้น แต่ใครบ้างที่เครียดหนักกว่าเดิม ใครบ้างที่อยากไปเที่ยวแล้ว ใครบ้างที่ “ร่างกายต้องการทะเล” เหตุผลในการท่องเที่ยวนี้จึงเป็น Physiological Needs
Fresh Air อยู่เมืองใหญ่ๆมีแต่ตึกไม่มีต้นไม้ ขอออกไปสูดอากาศบริสุทธินิดนึงเพื่อต่อชีวิตและลมหายใจ นั่นไง Physiological Needs วิ่งสวนลุมกันจนเบื่อละก็ออกไปวิ่งเก็บหมอกเก็บตะวันกันที่ต่างจังหวัดแบบไม่ต้องรอพี่ตูนกันดีกว่า
มาที่ Safety Needs กันบ้าง พอ Physiological Needs ถูกเติมเต็มระดับหนึ่งละ สิ่งถัดไปคือความต้องการความปลอดภัยละ ข้อนี้เป็นตัวกำหนด requirements หรือ factors ในการท่องเที่ยวในอนาคตแน่นอน
Health หลายๆโรงแรมทั่วโลกได้กำหนดและประกาศมาตรการความปลอดภัยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นของแขกที่มาเข้าพักกันเรียบร้อยแล้ว แล้วคุณล่ะ
Employment แม้ว่าหลัง Covid-19 จะมีการเดินทางทางธุรกิจลดน้อยลง แต่บางอาชีพก็มีความจำเป็นต้องเดินทางเพื่อรักษาหน้าที่การงานของตัวเองไว้ ก่อนจะสมัครงานเค้าก็มีเขียนบอกนี่นาว่าต้องเดินทาง
สำหรับส่วนถัดไปขอพีระมิดคือ love and belonging ความต้องการความรักความสัมพันธ์ และความเป็นเจ้าของเป็นปัจจัยหลักๆในการเดินทางท่องเที่ยวมาช้านาน
Friendships กลุ่มเพื่อนเดินทางท่องเที่ยวด้วยกันเพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นกันยิ่งขึ้น เดินทางไปที่ไหนก็ไม่สำคัญเท่าไปกับใคร จริงมั้ย บางทีไปกันเป็นกลุ่มกลับมากลุ่มแตกก็มี Oops…
Intimacy บรรดา Honeymooners ทั้งหลายเดินทางท่องเที่ยวด้วยเหตุผลนี้ มีหลายสำนักได้ทำวิจัยและสรุปว่า การเดินทางท่องเที่ยวทำให้ชีวิตคู่ดีขึ้น จะเป็น Romantic Trip, Anniversary, หรือ อื่นๆก็ถือเป็นการกระชับความสัมพันธ์
Sense of connection จะเห็นได้จากการเดินทางเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว เดินทางเป็นหมู่คณะ เพื่อทำกิจกรรมสันทนาการร่วมกันเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ในที่ทำงาน เป็นต้น
ส่วนถัดไปคือ Esteem Needs คือความต้องการความเคารพนับถือ แน่นอนว่า Esteem Needs เป็นเหตุผลในการท่องเที่ยวอย่างหนึ่ง ถ้ามองการท่องเที่ยวเป็นค่านิยมแน่นอนว่าการท่องเที่ยวจะมาตกในช่องนี้ ช่วงปิดเทอมคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองมักจะพาบุตรหลานเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ นอกจากจะเป็นการสร้าง sense of connection แล้วยังเป็น Esteem ด้วย ลองนึกดูว่า ลูกต้องทำรายงานว่าไปเที่ยวไหน เพื่อนถามว่าไปไหนมา การไปเที่ยวคือการได้มี story เพื่อแชร์กับผู้ปกครองท่านอื่น และนอกเหนือจากนั้นคือการได้แชร์กับ world หรือการได้โพสต์บน Facebook, IG, และ social media อื่นๆ ปริมาณการท่องเที่ยวเนื่องจากเหตุผลในข้อนี้อาจลดลงตามสภาวะเศรษกิจและการเปลี่ยนแปลงของค่านิยมทางสังคม อย่างเช่น ใครโพสต์ภาพว่าไปเที่ยวประเทศเสี่ยงมาช่วงนี้ คงโดนเพื่อนบ้านรังเกียจ แต่หลังโควิด ใครเดินทางท่องเที่ยวได้ ถือเป็นการแสดง status ได้เลย เพราะทุกอย่างจะไม่ถูกแน่ๆ
สรุปคือ People will travel after the COVID19, but it won’t be the same…แล้วโฉมหน้าการท่องเที่ยวจะเป็นยังไงได้บ้างล่ะ
1. People will want to travel closer to home แทนที่จะต้องนั่งเครื่อง 18 ชั่วโมงก็ขอเป็นแบบใกล้ๆพอแก้ขัดไปก่อน เรื่องที่จะต้องไปต่อเครื่องแกร่วที่สนามบินนานๆอาจจะตกไป เพราะฉะนั้น โรงแรมก็อาจจะต้องมองหาลูกค้าที่ใกล้มือมากขึ้น
2. Domestic travel and staycation will gain popularity at a time when people increasingly want to bring down physical contact with others อันนี้พูดกันมาตั้งแต่ช่วงโควิดและยังเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังโควิด น้องที่ที่ทำงานขับรถจากชลบุรีไปปางอุ๋ง สามารถถ่ายภาพวิว 360 องศาที่ไม่ติดคนอื่นมาด้วยก็ช่วงนี้ล่ะ
3. Flyers may look for emptier planes การเลือกช่วงเวลาในการบินที่สะดวกไม่เกี่ยงราคาอาจจะเปลี่ยนไปเป็นเลือกบินในช่วงที่คนเค้าไม่ค่อยบินกัน ทางสายการบินเองก็มีการปรับตัวเรื่องการจัด seating ให้มีระยะห่างมากขึ้น นอกเหนือจากมาตรการความปลอดภัยที่เข้มข้น
4. Cleanliness will become a relentless factor สิ่งนี้กลายเป็น requirement แบบไม่ต้องอธิบายเลยว่าเพราะอะไร Hostel ห้องน้ำรวมอาจจะไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไปถึงแม้จะถูกกว่า
5. Tourists will probably feel safer in boutique resorts and less crowded accommodations จากการที่เลือกโรงแรมใหญ่ๆที่ต้องไปเช็คอิน ทานอาหารเช้า และใช้ชีวิตในโรงแรมร่วมกับคนมากมาย โรงแรมเล็กๆจะเป็นทางเลือกที่มี Social Distancing ที่ดีกว่า
6. Community-based sustainable programs that empower local cultures could see a growth as people seek sparsely populated sites สถานที่ท่องเที่ยวที่มีคนเยอะๆจะถูกหลีกเลี่ยงไป เป็นสถานที่โปร่ง และเป็นส่วนตัวมากขึ้น
7. Leisure travelers in the middle to lower class will be hurt เมื่อมี demand รวมถึงต้องรับผู้โดยสารต่อเที่ยวน้อยลง การใช้ strategy แบบ mass ลดราคาเพื่อให้ขายได้มากขึ้นไม่ใช่ทางเลือกของสายการบิน ค่าตั๋วจะแพงขึ้น และไม่ใช่ everyone can fly อีกต่อไป tourism business ที่ target กลุ่ม middle to low จะได้รับผลกระทบมากกว่า
8. Less frequent leisure trips นอกเหนือจากปัจจัยด้านความปลอดภัย ปัจจัยทางเศรษฐกิจจะทำให้คนเดินทางน้อยลง แต่ spending per trip จะเพิ่มสูงขึ้นเพื่อซื้อความปลอดภัยให้ตัวเอง
9. Air quality will be an advertised feature โรงแรมไหนที่มีระบบแอร์แยกแทนที่จะเป็นแอร์กลาง หรือแม้แต่ระบบแอร์ที่สามารถจับฝุ่นและไวรัสได้ จะกลายเป็นจุดขาย โรงแรมไหนมีสถานที่โล่งแจ้งอากาศที่ดีก็จะเป็นจุดขายเช่นเดียวกัน
10. Travel will have different (high/peak) seasons เมื่อนักท่องเที่ยวหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนเยอะ ก็จะหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่มีคนเยอะด้วย High Season และ Peak Season อาจจะไม่ใช่ทางเลือกแรกในการเดินทางอีกต่อไป พฤติกรรมนักท่องเที่ยวจะทำให้ travel season เปลี่ยนไปด้วย
11. Travelers will pack differently คงไม่ถึงขนาดต้องจัดชุด PPE ลงกระเป๋า แต่แน่นอนว่า หน้ากาก แอลกอฮอล์เจล สำคัญ จากที่ต้องมี ขนมขบเคี้ยว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และเครื่องดื่มใน Minibar Menu อาจต้องพิจารณา หน้ากาก แอลกอฮอล์เจล face shield และอุปกรณ์อื่นๆเพื่อสร้างความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว
12. Business travelers จะเดินทางเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ช่วงโควิดก็ work at home กันได้ ประชุมทาง Internet กันได้ แล้วทำไมหลังโควิดจะต้องเดินทางกันเล่า สิ่งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนพฤติกรรมของ business travelers ที่แท้ทรู
โควิด-19 ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคมากมาย และพฤติกรรมการท่องเที่ยวก็หนีไม่พ้นการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน จากที่เคยมีการคาดการณ์ว่า Digital Disruption จะเกิดอย่างสมบูรณ์ในอีกห้าปี สถานการณ์นี้ก็เร่งกระบวนการให้เกิดขึ้นในบัดดล ธุรกิจธนาคารที่ถูก digital คลืบคลานเข้าไปอย่างช้าๆ จาก internet banking เป็น mobile banking แล้วมา social media banking ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ก็มีสถานการณ์โควิดเป็นตัวเร่งเช่นเดียวกัน Travel and Tourism ถึงแม้จะโดน disrupted เช่นเดียวกัน แต่ผู้คนยังต้องการ personal touch, local touch, nature touch, และ real experience อยู่ เพราะยังมีบาง generations ที่ยังคงมีชีวิตบนโลกที่ยังติดกับความเป็นจริงและของจริงอยู่ การได้สัมผัส หาดทราย สายลม น้ำทะเล แสงแดด ยังเป็น preference ถ้าจะมองภาพการเปลี่ยนแปลงไปถึง Virtual Tour/Experience คงอีกสักพักใหญ่ งานวิจัยหลายงานจากหลายภูมิภาคสรุปว่ากว่า 70% ของผู้คนอยากออกเดินทางท่องเที่ยวแล้ว
New Normal of Travel ในระยะอันใกล้ก็น่าจะสรุปได้ตามหัวข้อที่กล่าวมาด้านบน การปรับตัวเท่านั้นที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอด สู้กันต่อไปทุกท่าน RevPlus เป็นกำลังใจให้

Remark: New Normal หมายถึง ความปกติใหม่ , ฐานวิถีชีวิตใหม่ หมายถึงรูปแบบการดำเนินชีวิตอย่างใหม่ที่แตกต่างจากอดีตอันเนื่องจากมีบางสิ่งมากระทบ จนแบบแผนและแนวทางปฏิบัติที่คนในสังคมคุ้นเคยอย่างเป็นปกติและเคยคาดหมายล่วงหน้าได้ต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่วิถีใหม่ภายใต้หลักมาตรฐานใหม่ที่ไม่คุ้นเคย (คัดลอกมาจากบืความของ Thai PBS) นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งในการเลือกทางสะดวกโดยการใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษในบทความ ศัพท์สั้นๆบางคำ ถ้าจะอธิบายก็ยาวจริงๆ






Comments